ขอแค่ก้าวเดียว! 55 ปีที่รอคอยความสำเร็จในระดับชาติตอนนี้ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว เมื่อ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ สามารถนำทัพ “สิงโตคำราม” ปราบ เดนมาร์ก 2-1 หลังจากฟาดฟันกันนานถึง 120 นาที ในรอบรองชนะเลิศ ศึกยูโร 2020 เมื่อวันพุธที่ 7 กรกฎาคมที่ผ่านมา
คอบอล “ทรี ไลอ้อนส์” ใจหายแว๊บเมื่อโดน มิคเคล ดัมส์การ์ด ซัดฟรีคิกระยะ 25 หลาส่งบอลซุกก้นตาข่ายอย่างงดงาม และเป็นการเสียประตูแรกของ อังกฤษ ในทัวร์นาเมนต์นี้ แต่จากนั้นไม่นาน ซิมง เคียร์ ทำพลาดสกัดบอลเข้าประตูตัวเอง
ช่วงเวลาที่เหลือแม้ อังกฤษ จะเปิดฉากบุกใส่ตลอดแต่ยิงเพิ่มไม่ได้จบเกม 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ทำให้ต้องมาด้วยกันในช่วงต่อเวลาพิเศษ 30 นาที และเป็น แฮร์รี่ เคน ที่สวมบทฮีโร่ ซัดประตูสำคัญนำ “สิงโตคำราม” เข้ารอบชิงใน ยูโร เป็นครั้งแรก โดยจะไปพบกับ อิตาลี วันอาทติย์นี้
1. แผงแบ็กโฟร์สุดแกร่ง
เซาธ์เกตเลือกใช้แผนกองหลัง 4 คนในแมตช์นี้และถือว่าเป็นการวางแท็กติกที่ถูกต้องเพราะ แฮร์รี่ แม็กไกวร์, จอห์น สโตนส์, ลุค ชอว์ และ ไคล์ วอล์คเกอร์ ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่มีที่ติดเลยจริงๆ
จังหวะที่ อังกฤษ เสียประตูคงไม่สามารถที่จะกล่าวโทษทั้ง 4 คนได้เลย เพราะการยิงฟรีคิกของ มิคเคล ดัมส์การ์ด มันสมบูรณ์แบบเหลือเกิน แต่หลังจากนั้นพวกเขาแทบไม่มีจังหวะผิดพลาดให้เห็นเลยตลอด 120 นาที
ถ้าจะชี้เป้าคนที่โดดเด่นที่สุดในเกมรับของทีมคงหนีไม่พ้น แม็กไกวร์ เพราะเจ้าตัวเล่นได้อย่างแข็งแกร่งทั้งลูกกลางอากาศ และลูกบนพื้น แถมยังมีจังหวะที่สอดขึ้นไปโหม่งทำประตู แต่เจอซูเปอร์เซฟของ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล
สถิติในเกมรับของกัปตันทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สุดยอดมากๆ โดยเขาเอาชนะการดวลแบบตัวต่อตัวได้ถึง 13 ครั้ง, เคลียร์บอลขาด 5 ครั้ง, ตัดบอล 5 ครั้ง ต้องบอกเลยว่านี่คือฟอร์มที่เพอร์เฟกต์มากๆ
ขณะที่ สโตนส์ ถือเป็นคู่หูที่สมบูรณ์แบบของ แม็กไกวร์ โดยเขาทำผลงานได้ดีมากๆ แต่อาจจะไม่ได้โดดเด่นเท่ากับ แม็กไกวร์ ด้าน ชอว์ กับ วอล์คเกอร์ ยังคงทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพทั้งเกมรุก และเกมรับ สามารถดันเกมขึ้นสูงเพื่อช่วยสร้างโอกาสให้เพื่อร่วมทีม แถมยังลงมาเล่นเกมรับได้อย่างเหนียวแน่นด้วย
2. เซาธ์เกตวางหมากได้ถูกต้องอีกครั้ง
เป็นอีกครั้งที่ เซาธ์เกต แสดงให้เห็นถึง “กึ๋น” ในการวางแท็กติกเพื่อใช้ฟาดฟันกับคู่แข่งในแต่ละเกม โดยแมตช์นี้เจ้าตัวมีการจัดวางผู้เล่นได้อย่างเหมาะสมทุกตำแหน่ง และทำให้ทีมทำผลงานได้มีประสิทธิภาพ
เกมนี้ อังกฤษ เล่นได้อย่างสุดยอดมากๆ โดยเฉพาะครึ่งหลังที่สามารถขึงเกมได้ตลอด แต่สิ่งที่หลายคนสงสัยก็คือทำไม เซาธ์เกต ถึงเปลี่ยนผู้เล่นแค่คนเดียว ในขณะที่ เดนมาร์ก ใช้โควตาเกือบหมดในช่วงระหว่าง 90 นาที
จนกระทั่งต่อเวลาพิเศษถึงได้ส่ง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ ฟิล โฟเด้น ลงสนาม ซึ่งนั่นเป็นการตอบทุกข้อสงสัยได้ทันที เพราะเพียงเท่านี้ฟอร์มของ อังกฤษ ก็โดดเด่นเหนือ เดนมาร์ก มากกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งพละกำลังในการเล่นเกมบุก การครอบครองเกม และการสร้างโอกาสในการทำประตู
ชัยชนะในแมตช์นี้แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการตัดสินใจที่รอบคอบของ เซาธ์เกต ตั้งแต่เลือก 11 ตัวจริง การวางแผน และการเปลี่ยนตัว ฉะนั้นในนัดชิงวันอาทิตย์นี้แฟนบอลอังกฤษ คงต้องลุ้นว่าการวางแท็คติกของเขา จะสู้กับจอมวางแผนอย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่ ได้ไหม !!
3. เคน เป็นทุกอย่างให้แล้ว
เกมนี้ แฮร์รี่ เคน แสดงให้เห็นแล้วว่าทำไมเขาถึงเป็นนักเตะที่มีความสำคัญกับอังกฤษมากๆ โดยเจ้าตัวไม่ใช่แค่ “หน้าเป้า” ที่คอยยิงประตูเท่านั้น แต่เขายังเป็นคนที่ลงมาล้วงบอลเอง, สร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีม และหาโอกาสยิงประตู
หัวหอกท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เป็นคนที่ส่งบอลสุดเฉียบคมให้กับ บูคาโย่ ซาก้า หลุดกับดักล้ำหน้าก่อนจะผ่านบอลเข้ากลางและส่งผลให้ ซิมง เคียร์ สกัดบอลพลาดเข้าประตูตัวเอง จนทำให้ทีมตีเสมอได้เร็ว นอกจากนี้ เคน ยังเกือบช่วยให้ทีมได้จุดโทษด้วยในนาทีที่ 75
เคนทำหน้าที่ประสานงานกับ ราฮีม สเตอร์ลิง และ ซาก้า ได้อย่างลงตัว โดยเขาเล่นเหมือนกับเป็นผู้เล่นเบอร์ 10 (เพลย์เมกเกอร์) มากกว่าผู้เล่นเบอร์ 9 (หน้าเป้า) เพราะเจ้าตัวมักจะลงมารับบอลลึกเพื่อสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีมในช่วง 90 นาที ก่อนที่เขาจะสวมบทฮีโร่ซัดประตูชัดจากจุดโทษในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ผลงานในการลากบอลเพื่อไปเอาฟรีคิก, คอยดึงจังหวะเกมให้ช้าเมื่อทีมได้เปรียบเรื่องสกอร์, พยายามสร้างโอกาสให้เพื่อนร่วมทีมหลายต่อหลายครั้ง และยิงประตูชัย ต้องบอกเลยว่านี่คือฟอร์มที่สุดยอดของกัปตันทีมชาติอังกฤษอย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ เคน มีลุ้นคว้ารางวัลดาวซัลโวประจำทัวร์นาเมนต์ หลังจากที่ซัดไปแล้ว 4 ประตู ตามหลัง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กับ แพทริค ชิค แค่ลูกเดียว และเขายังมีลุ้นทำประตูเพิ่มเพราะได้นำทีมลงเล่นในเกมนัดชิงชนะเลิศ
4. ชไมเคิ่ล ฟอร์มหนึบแต่ก็ไปสุดได้แค่นี้
หากจะหานักเตะที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของ เดนมาร์ก บอกเลยว่า แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล สมควรได้รับการยกย่องอย่างที่สุด เพราะหากไม่มีเขายืนเฝ้าเสาในเกมนี้ คาดว่าทัพ “โคนม” สกอร์น่าจะแพ้ขาดกระจุยเลยทีเดียว
ชไมเคิ่ลจูเนียร์ โชว์ฟอร์มได้สุดเหนียวหนึบโดยสามารถพุ่งปัดจังหวะโหม่ของ แม็กไกวร์ ได้อย่างเหลือเชื่อ รวมไปถึงป้องกันจังหวะการยิงประตูของ สเตอร์ลิง ยังไม่หมดแค่นั้นเขายังโชว์เซฟปัดลูกยิงของ เคน ด้วย และทุบบอลจากการซัดของ แจ็ค กรีลิช นี่แค่ชอตเด็ดๆ ที่เจ้าตัวแสดงให้เห็นในเกมนี้
สถิติรวมในการป้องกันของ นายทวาร “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ ในแมตช์นี้อยู่ที่ 9 ครั้ง แต่ตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์เขาป้องกันได้ถึง 18 ครั้ง แต่กระนั้นมันไม่เพียงพอที่จะทำให้เขานำ เดนมาร์ก ลุ้นแชมป์ยูโรสมัยที่ 2
น่าเสียดายจริงๆ ที่ แคสเปอร์ ไม่สามารถเดินตามรอยเท้าคุณพ่อปีเตอร์ ชไมเคิ่ล ที่ช่วยทัพ “โคนม” คว้าแชมป์ยูโร 92 เพราะก่อนหน้านี้เขาสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพ ได้แล้ว ขาดแค่เกียรติประวัติระดับชาติเท่านั้น
5. สิ่งที่รอคอยมานานกว่า 55 ปี
นับตั้งแต่ที่ อังกฤษ ได้ชูโทรฟี่จูลส์ ริเมต์ เมื่อปี 1966 พวกเขาก็ไม่เคยได้เข้าใกล้กับความสำเร็จในทัวร์นาเมนต์ระดับเมเจอร์อีกเลย ใกล้เคียงสุดก็แค่การเข้าไปในรอบรองชนะเลิศเท่านั้น
แน่นอนว่าการที่ เซาธ์เกต สามารถนำทัพ “สิงโตคำราม” เข้าไปสู่รอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบนานกว่าครึ่งศตวรรษ ถือเป็นเรื่องที่แฟนบอลอังกฤษสุดมีความสุขที่สุด เพราะนี่คือสิ่งที่พวกเขารอคอยกันมานานแสนนาน
อย่างไรก็ตามการต้องเจอกับ อิตาลี ที่มีเกมรับเหนียวแน่น และมีเกมรุกที่เฉียบคม ที่สำคัญพวกเขาเล่นกันได้อย่างเข้าขา ขณะเดียวกันความสามารถเฉพาะตัวของขุนกำลัง “อัซซูรี่” ก็โดดเด่น นี่จึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ อังกฤษ จะต้องฝ่าฟันไปให้ได้
ตอนนี้เหลืออีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้นที่ อังกฤษ จะสามารถนำแชมป์ยูโรสมัยแรกมาประดับบารมีให้สมเกียรติกับคำว่าดินแดนที่ให้กำเนิดเกมลูกหนัง และยังเป็นแชมป์ระดับชาติที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสมานานเหลือเกิน
ฟุตบอล’ส คัมมิ่ง โฮม!” (Football’s coming home!) จะดังกระหึ่มเป็นทวีคูณทั่วสนามเวมบลีย์หลังเสียงนกหวีดหมดเวลาในเกมนัดชิง วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคมนี้ หรือไม่ เดี๋ยวจะได้รู้กัน